
ซึ่งคุณ วิจิตร อารยะพิศิษฐนั้น ที่ได้เป็นผู้อำนวยการที่อาวุโสและเป็นนักกลยุทธ์ด้านการลงทุน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บอกว่า MORE หุ้น ที่นักลงทุนไม่ค่อยมีความที่นิยมของตลาดเพราะตัวผลประกอบการนั้นค่อนข้างที่จะเหวี่ยงและก่อนหน้านี้ได้มีเรื่องในส่วนของ Warrant การแปลงหุ้น ดังนั้นการแสดงการใช้สิทธิได้สิ้นสุดในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2565 นั่นหมายความว่า ผู้ลงทุนแปลงหุ้นจบสิ้นปีและได้รอจังหวะ W2 ที่จะเข้ามาเป็น MORE ของในช่วงถัดไป ประเมินแล้วค่าแปลง W2 ค่อนข้างที่จะอยู่สูง 2.00 บาท
แต่ตรงจุดนี้ ก็มีผลทำให้ผู้ลงทุนมีความเริ่มกลัวการแปลง W2 เพราะถ้าเข้าไปดูรายงานในตลาด W2 นั้น จะมีอยู่ในช่วงที่เข้ามาในตลาดช่วงถัดไป แต่ผู้ลงทุนก็กลัวได้เหมือนกัน เพราะถ้าไปศึกษาในเชิงราคาของหุ้น W2 ก็แทบจะไม่มีราคาเลย ราคาลดลงต่ำกว่าเศษสตางค์ ดังนั้นจากการสังเกตว่า การแปลงของ Warrant ยังไม่ได้เข้ามาจริงจังในของหุ้นที่ตลาด ผู้ลงทุนอาจจะมีการกลัวกันก่อน หรือไม่ก็ผู้ลงทุนที่เห็นเข้ามาจึงรีบที่จะขายก่อนได้

และอีกประเด็นหนึ่งนั้นคือ MORE หุ้น ไม่มีใครทำเรื่องบทวิเคราะห์ของหุ้นตัวนี้เลย ในส่วนของเรื่องผลประกอบก็ค่อนข้างที่จะเหวี่ยง บางปีนั้นจะกำไรบ้าง ก็จะมีจังหวะของการเปลี่ยนแปลงไปตลอดๆ ไม่มีความชัดเจนว่าทำธุรกิจอะไรแบบจริงๆ เพราะนั่นมีการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจใหม่ของตลาด ก็ถือได้ว่าเป็นอีกครึ่งที่ค่อนข้างน่าจะเสี่ยง
คุณกิจพณ ไพรไพศาลกิจ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ของบล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ได้มีการยอมรับว่า มีความผิดปกติของการซื้อขายตั้งแต่เช้า จากที่ราคาเปิด (ATO) มีจำนวน 1,500 ล้านหุ้น ราคา 2.90 บาท หรือคิดเป็น 22.25% ของหุ้นบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ดังนั้นผู้ลงทุนที่สามารถซื้อขายได้มากขนาดนี้ก็ไม่ได้มีเยอะ น้อยกลุ่มมาก หรืออาจะเป็นลักษณะของการเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ขึ้นก็เป็นไปได้
และในส่วนของข่าวที่ลือกันว่ามีรายใหญ่ได้คีย์ออเดอร์ผิดนั้นก็มองว่า ไม่ควรมีวอลุ่มขายออฟเฟอร์ได้เยอะขนาดนั้น เพราะว่า ถ้าสังเกตดูความผิดพลาดจากเคสดังกล่าวแล้วนั้นต้องมีการคิดที่จะแก้ไขสถานการณ์ โดยที่คีย์ผิดแล้วก็ต้องจะรีบคีย์ซื้อกลับ ดังนั้นก็ไม่น่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำนานๆได้ขนาดนั้น ถ้าหากสังเกตแถวโซนประมาณ 1.90 บาทจะต่ำกว่า 2.00 บาท จะมีปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างเยอะในวันนี้ แต่ถ้าเป็นเคสคีย์ออเดอร์ผิดลงไปนั้น ก็ควรจะต้องรีบซื้อรีบกลับเข้ามาโดยทันที ในขณะที่เคสการแปลง W2 ก็อาจจะส่งผลที่เป็นไปได้ที่ทำให้ราคาต่ำลงมา
อีกทั้ง ดร.อมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ กรรมการของบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด(มหาชน)ได้อธิบายว่าข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ถึงมีปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ และราคาหลักทรัพย์ของบริษัท ค่อนข้างเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างมีสาระสำคัญ บริษัทไม่ได้มีพัฒนาการที่สำคัญใดๆนอกเหนือจากที่บริษัทมีการเผยแพร่สารสนเทศตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และถ้าหากมีข้อมูลหรือพัฒนาการใดๆที่อาจทำให้ส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของราคาหลักทรัพย์นั้น บริษัทก็จะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป

ซึ่งวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2565 บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) นั้นก็ได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทุนชำระบริษัทที่จะเกิดจากการใช้สิทธิในครั้งสุดท้ายในใบสำคัญมีสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทในครั้งที่ 2 (W2) จากชำระเดิม 326,543,579.75 บาท เปลี่ยนเป็นทุนชำระใหม่ 343,837,422.05 บาท ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าของกระทรวงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วในเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ทำให้บริษัทมีทุนชำระแล้วจำนวน 343,837,422.05 บาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 6,876,748,441 หุ้น และมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.05 สำหรับผลการดำเดินงาน 6 เดือนโดยที่ผ่านมากำไรสิทธิอยู่ที่ 28.99 ล้านบาท เทียบกับ 6 เดือนของไตรมาสก่อนจะอยู่ที่ 21.79 ล้านบาท อัตราการเปลี่ยนแปลงของกำไรสุทธินั้นอยู่ที่ 33.05%
สุดท้ายตลอดทั้งวันก็มีกระแสข่าวลืออีกว่าได้มีเจ้ามือรายใหญ่ในตลาดหุ้นนั้นมีการคีย์ราคาผิด จึงส่งผลทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยที่ถือหุ้นของ MORE มีความตกใจและเกิดแรงเทขายออกมาเป็นจำนวนเยอะมากกว่าปกติ จนราคานั้นตกลงเป็นอย่างมาก
เครดิต : www.bangkokbiznews.com, www.bangkokbiznews.com,www.kaohoon.com
Tags : MORE หุ้น, ดร.อมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ, วิจิตร อารยะพิศิษฐ